|
2.ความอ่อนตัวของก้าน(Flexible)
โดยส่วนตัวแล้วผมว่าความแตกต่างที่เห็นได้ชัดนอกจากน้ำหนักของไม้ก็คือลักษณะของก้านไม้แบด ลักษณะของก้านก็จะมีตั้งแต่ไม้ก้านอ่อน ไปจนถึงไม้ก้านแข็ง จุดเด่นของไม้ก้านอ่อนคือ ช่วยเรื่องเซฟแรง เวลาตีไม่ต้องออกแรงมากเหมาะสำหรับผู้เพิ่งเริ่มต้นเล่นแบดแต่ข้อเสียของไม้ก้านอ่อนคือ การคอนโทรลทำได้ยากเนื่องจากหน้าไม้แกว่งทำให้เวลาเราตีลูกวางเซฟ หรือลูกตัดก็จะไม่แม่น ต่อมาจุดเด่นของไม้ก้านแข็ง ข้อดีคือเรื่องการคอนโทรลลูกเวลาวางลูกจะแม่นกว่าไม้ก้านอ่อน แต่ข้อเสียของไม้ก้านแข็งคือ เวลาต้องออกแรงเยอะ แล้วแรงสะเทือนของไม้เวลากระทบลูกจะส่งมาขึ้นข้อมือเราได้ทำให้เวลาใช้ไม้ก้านแข็งจะเมื่อยข้อมือ เมื่อยแขนได้ง่าย
3.ความตึงเอ็นและการเลือกเอ็น
โดยจะแบ่งเป็นแนวตั้ง(main) กับแนวนอน(cross) ซึ่งจะไม่เท่ากัน แนวตั้งจะรับได้น้อยกว่าแนวนอน
ไม้ที่เบากว่ามักจะรับความตึงได้น้อยกว่าเนื่องจากความบอบบางของเฟรมนั่นเอง สำหรับผู้เล่นทั่วไปนั้นก็จะขึ้นเอ็นกันที่ 20-21 ปอนด์ ไม้ที่รับได้ 21 ปอนด์ก็เพียงพอ แต่ผู้เล่นที่ฝีมือดีหน่อยก็มักจะชอบเอ็นตึงๆ ขึ้นกัน 22-24 ปอนด์ บางคนขึ้นถึง 28 ปอนด์เลยก็มีอันนี้ก็ต้องดูจาก spec ที่เขียนไว้ที่โคนไม้ จะบอกไว้ทั้ง 2 แนวสำหรับเอ็นที่มากับไม้นั้นขอบอกว่าหย่อนมาก สำหรับผู้เล่นระดับเริ่มต้นก็พอตีไปก่อนได้ แต่อย่าหวังว่ามันจะขาดแล้วค่อยเปลี่ยนนะครับ มันไม่ขาดง่ายๆ ส่วนการเลือกเอ็นก็อยู่ที่ขนาดของเส้นเอ็นยิ่งเส้นเล็ก(เช่น BG66 Nanogy98 BG68Ti) ก็จะยิ่งเด้ง แต่ข้อเสียก็จะขาดง่าย แล้วก็คอนโทรลลูกได้ยากกว่าเส้นใหญ่ ข้อดีของเส้นใหญ่(เช่น BG65 BG65Ti)คือจะคอนโทรลลูกได้ง่ายกว่า ขาดยากกว่าแต่ข้อเสียคือ ไม่ค่อ่ยเด้งต้องออกแรงเยอะ สรุปได้ว่า ถนัดอันไหน ก็เลือกแบบนั้นครับ เลือกที่เหมาะกับตัวเอง
|